'ชโย กรุ๊ป (CHAYO)' ปิดจองไอพีโอประทับใจ กระแสตอบรับล้นหลาม พร้อมเทรด mai 22 มี.ค.นี้
หุ้นไอพีโอ CHAYO ขายเกลี้ยง 140 ล้านหุ้น หลังเสนอขายวันที่ 7-9 มี.ค. ที่ผ่านมา เชื่อการกำหนดราคาไอพีโอ 2.88 บาท/หุ้น เป็นราคาเหมาะสม ประกอบกับเป็นหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง จึงได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากนักลงทุน เตรียมนำเงินที่ระดมทุน ส่วนใหญ่ไปใช้ประมูลซื้อกองสินทรัพย์ด้อยคุณภาพทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน ส่วนที่เหลือไปชำระเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพิ่มศักยภาพธุรกิจและสร้างการเติบโตในอนาคต หวังเป็นหนึ่งในหุ้น GROWTH STOCK และ DIVIDEND STOCK ขวัญใจนักลงทุน เชื่อเข้าซื้อขายวันแรก 22 มีนาคมนี้ มั่นใจไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวัง
นายชนะชัย จุลจิราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) (AECS) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย หุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO กล่าวว่า หลังจากที่ได้เปิดขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 140 ล้านหุ้น ในราคาเสนอขายที่ 2.88 บาท/หุ้น ระหว่างวันที่ 7 - 9 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมา ปรากฎว่าหุ้นของ CHAYO ได้รับความสนใจจากนักลงทุนจองซื้อหุ้นไอพีโอเป็นจำนวนมาก เนื่องจากมั่นใจในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ ที่มีศักยภาพสูงในการเติบโต มีความโดดเด่น มีอนาคตสดใส การกำหนดราคาที่ 2.88 บาท หากคำนวณ P/E RATIO โดยใช้กำไรสุทธิ 4 ไตรมาสย้อนหลัง (1 มกราคม – 31ธันวาคม 2560) จะเท่ากับ 27.69 เท่า จึงมั่นใจว่า CHAYO จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง และเข้าทำการซื้อขายวันแรกได้อย่างประทับใจ
“ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการเปิดจองหุ้นไอพีโอของ CHAYO ในครั้งนี้ มีนักลงทุนให้ความสนใจจองซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก คาดว่าเป็นผลจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นในธุรกิจ และศักยภาพการเติบโตสูง จากความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของผู้บริหารซึ่งมีประสบการณ์ในธุรกิจให้บริการเจรจาติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้มากว่า 20 ปี และมีทีมงานที่แข็งแกร่ง การเติบโตของบริษัทฯ ที่มีรายได้เติบโตต่อเนื่อง เป็นอีกบทพิสูจน์ให้เห็นว่าบริษัท CHAYO ได้รับความเชื่อถือ เชื่อมั่น และพร้อมที่จะเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต การเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ครั้งนี้ จะยิ่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ CHAYO มากยิ่งขึ้น และเชื่อว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนในระยะยาว นอกจากนี้ ราคาขายหุ้นไอพีโอที่ 2.88 บาทต่อหุ้น ถือเป็นระดับราคาที่น่าสนใจ หากนักลงทุนที่พลาดวันจองซื้อหุ้นไอพีโอ สามารถเข้ามาซื้อหุ้นบนกระดานได้ โดยจะเข้าเทรดวันแรกวันที่ 22 มีนาคมนี้ CHAYO จะเป็นหุ้น GROWTH STOCK และ DIVIDEND มั่นใจไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวังอย่างแน่นอน” นายชนะชัย กล่าว
ด้านนายสุขสันต์ ยศะสินธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO กล่าวว่า หุ้นไอพีโอของบริษัทฯ ได้รับความสนใจจากนักลงทุนจองซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัทฯ เนื่องจาก CHAYO ถือเป็นผู้ให้บริการที่มีความเชี่ยวชาญในการเจรจาติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้กว่า 20 ปี โดยบริษัทฯ ดำเนินงานอย่างมืออาชีพ มีมาตรฐาน ทำตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และสามารถรักษาชื่อเสียงของผู้ว่าจ้างได้เป็นอย่างดี ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ สามารถจัดเก็บหนี้ได้ตามเป้าหมายหรืออยู่ในระดับที่ผู้ว่าจ้างพึงพอใจ ส่งผลให้บริษัทฯ ได้รับมอบหมายงานจากผู้ว่าจ้างอย่างต่อเนื่อง และเป็นบริษัทฯ มีศักยภาพ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและโดดเด่น การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ จะทำให้บริษัทฯ สามารถก้าวขีดจำกัดในด้านการเข้าถึงแหล่งเงินทุน พร้อมทั้งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน คู่ค้าและ/หรือสถาบันการเงิน เพื่อต่อยอดธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต
“ในฐานะผู้บริหารบริษัทฯ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจจองซื้อหุ้นไอพีโอเข้ามาเป็นจำนวนมาก สะท้อนว่านักลงทุนมีความเชื่อมั่นในการเติบโตของธุรกิจ การเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ครั้งนี้ จะทำให้ CHAYO เข้าถึงแหล่งเงินทุน และสามารถเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วตามแผนที่วางไว้ และมั่นใจทีมผู้บริหารจะดำเนินธุรกิจด้วยหลักธรรมาภิบาลควบคู่กับการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น เชื่อว่าเมื่อ CHAYO เข้าซื้อขายเป็นวันแรกในวันที่ 22 มีนาคมนี้ จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน” นายสุขสันต์ กล่าว
เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ 403.2 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะนำไปใช้ เพื่อรองรับการประมูลซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกันเข้ามาบริหาร นอกจากนี้ การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ ต่อสถาบันการเงินและคู่ค้าธุรกิจ รวมทั้งลูกค้าทั้งภาครัฐ และเอกชน และเพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนให้ธุรกิจ โดยปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้างบลงทุนที่จะใช้ซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหาร รวมทั้งการขยายธุรกิจเจรจา ติดตามและทวงถามหนี้ และธุรกิจศูนย์ข้อมูลลูกค้า (CALL CENTER) ตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งจะช่วยให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ เติบโตอย่างแข็งแกร่งและโดดเด่นต่อไป